ปืนไรเฟิร์ล และปืนสไนเปอร์ไรเฟิร์ล (Rifle & Sniper Rifle)
Kar98k
ปืนเวอร์ชั่น : Kar98K บริษัท : Mauser ประเทศ : GERMANY กระสุน : 7.92x57mm IS แรงปะทะกระสุน : 4000-5000 จุล พลังทำลาย : สูง ปีประจำการ : 1935 เเม็กกาซีน : 5 นัด ระบบปฏิบัติการ : manually operated, rotating bolt , Bolt-action ระบบการยิง : bolt action น้ำหนัก : 3.9 kg - 4.1 kg ระยะหวังผล : 500-800 เมตร
ประวัติ
ปืนไรเฟิล Bolt Action ชื่อว่า "Mauser Karabiner98k" หรือ "Kar98K" เป็นปืนไรเฟิลคาร์ไบน์ครับ ใช้กระสุนขนาด 7.92x57 mm. หรือ 8 mm. MAUSER นั่นละ ขนาดเดียวกับปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ Gewehr 43 ความจุ 5+1 นัดครับ ใช้คลิปกระสุนในการบรรจุ เป็นปืนไรเฟิลที่กองทัพเยอรมันไว้ใจมากในเรื่องความแม่นยำ และความรุนแรงที่สูงกว่าปืนไรเฟิลของฝ่ายพันธมิตรในเวลานั้น และเป็นที่นิยมมากในการนำมาติดตั้งกล้องเล็งขนาด 4X เพื่อใช้ในภารกิจซุ่มยิง
ปืนไรเฟิลกระบอกนี้นั้น จะนิยมใช้กับพวกทหารนาซีของฝ่ายเยอรมันกัน มันเป็นปืนไรเฟิลที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพสูงมากทั้งความแม่นยำที่สูงมาก และใช้กระสุนไรเฟิลที่มีอำนาจในการสังหารหยุดยั้งที่ดีเยี่ยมมากนั้นเอง แล้วรวมไปถึง แรงสะท้อนที่คุมง่ายและไม่ถีบมากๆของเจ้า KAR98 นั้นเอง และการดึงคั้นรั้งก่อนยิงที่รวดเร็วทันใจ และเป็นปืนที่มีความเที่ยงตรงสูงมากนั้นเอง และการบรรจุกระสุนของมันที่รวดเร็วทันใจของเจ้าปืนกระบอกนี้นั้นเอง ทำให้มันเป็นปืนที่ใช้ผ่านในสนามรบในสงครามหลายประเทศ หลายพื้นที่มากๆนั้นเอง
M1918 Browning Automatic Rifle หรือ BAR
ปืนเวอร์ชั่น : BAR M1918 ประเทศ : USA ผลิตปี : 1918 ปีประจำการกองทัพ : 1918-1960 ประเภทปืน : AUTOMATIC RIFLEปีผลิต : 1905 รบในสงคราม : สงครามโลกครั้งที่ 1-2 , สงครามจีน , สงครามเกาหลี บรรจุกระสุน : 20 นัด ระบบปฏิบัติการ : GAS OPERATED , OPEN BOLT ระบบการยิง : FULL AUTO อัตราการยิง : 450-650 RPM น้ำหนัก : 7.2 Kg. - 8.8 Kg. ระยะหวังผล : 100–1400 เมตร ระยะยิงไกลสุด : 550 เมตร ความสามารถพิเศษ : อำนาจในการทะลุทะลวงที่สูงขึ้น ยิงทะลุกระจก ยิงทะลุต้นไม้ได้ ฟังก์ชั่น : ติดตั้งกับยานพาหนะต่างๆ
กระสุน : .30-06 SPRINGFIELD เเรงปะทะกระสุน : 3500-4500 จุล กระสุน : 7.92x57mm Mauser แรงปะทะกระสุน : 4000-5000 จุล กระสุน : 7.65x53mm Belgian Mauser แรงปะทะกระสุน : 3000-3400 จุล กระสุน : 7x57mm Mauser แรงปะทะกระสุน : 2500 จุล กระสุน : 6.5x55mm แรงปะทะกระสุน : 2900-3100 จุล กระสุน : .303 British แรงปะทะกระสุน : 3200-3600 จุล กระสุน : 7.62x51mm NATO แรงปะทะกระสุน : 3300-4100 จุล
ประวัติ
ปืน ไรเฟิลอัตโนมัติ BAR (BAR : Browning Automatic Rifle) ใช้กระสุนขนาด .30-06 เหมือนปืน M1 Garand และปืน Springfield'03 ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Gas-operated, open bolt ความจุ 20 นัด/แมกกาซีน อัตราการยิง 450-550 นัด
จะ สังเกตได้ว่าปืนไรเฟิลหลายรุ่นของฝ่ายสหรัฐอเมริกา จะใช้กระสุนขนาดเดียวกันหมดคือขนาด .30-06 เนื่องจากเป็นนโยบายในการลดความยุ่งยากในการขนส่งเสบียงและยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของฝ่ายพลาธิการ จนถึงปีค.ศ.1950 กระสุน .30-06 จึงถูกแทนที่ด้วยกระสุนขนาด .308 (7.62X51 mm. NATO) ของ Winchester แทน พร้อมกับนำปืนไรเฟิล M14 เข้ามาเป็นอาวุธประจำกายแทนที่ปืน M1 Garand ,M1 Carbine และ BAR
แต่กระสุนไรเฟิล .30-06 มีข้อเสียตรงที่อำนาจในการหยุดยั้งข้าศึกต่ำไปหน่อย กระสุนมันพุ่งทะลุผ่านเป้าหมายไปอย่างเดียวแต่ไม่ถ่ายโอนพลังงานจลใส่เป้าหมาย ในสมัยสงคราม มันจึงเป็นกระสุนไรเฟิลที่เหมาะสมสำหรับเก็บกวาดศัตรูจากระยะไกลซะมากกว่า นั้นเอง
ปืน BAR มีข้อเสียทั้งเรื่อกน้ำหนักที่หนักมากเอาเรื่อง แรงถีบที่มากเอาเรื่องด้วยเช่นกัน และแถมยังบรรจุกระสุนได้น้อยอีก แต่มันก็เป็นปืนที่ยิงรัวได้เร็วใช้ได้ แต่มันจะส่ายเอามากๆเลย ถ้า คุณไปใช้ปืนกล BAR รุ่นอื่นๆ อย่างรุ่น wz.1928 ล่ะก็ปืนจะยิ่งถีบยิ่งกว่านี้อีก แต่แน่นอนอานุภาพของเจ้าปืนกล BAR ก็มากพอจะเอาไปใช้ทำลายสอยเครื่องบินใบพัดในสมัยสงครามได้บ้าง ถ้าคุณยิงแม่นและยิงนิ่งมากพอ
M1 CARBINE
ปืนเวอร์ชั่น : M1 CARBINE บริษัท : Military contractors Commercial copies ประเทศ : USA กระสุน : .30 US Carbine (7.62x33 mm) แรงปะทะกระสุน : 1,190 จุล พลังทำลาย : ปานกลาง ปีประจำการ : 1942-1960 เเม็กกาซีน : 15-30 นัด ระบบปฏิบัติการ : Gas-operated, rotating bolt ระบบการยิง : SEMI AUTO RIFLE น้ำหนัก : 2.36 kg ปืนรุ่นอื่นๆ : M1A1, M1A3, M2, M3
ประวัติ
ปืน M1 Carbine กองทัพไทยเรียกว่า "ปืนสั้นบรรจุเอง แบบ 87 (ปสบ.87)" เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2487
ปืน M1 Carbine เคยใช้รบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม มาก่อนปืนนี้จะมีแรงสะท้อนค่อนข้างถีบพอควรแล้วทำมาจากไม้และเหล็กด้วย แต่น้ำหนักพอถือวิ่งพกพาได้อานุภาพหยุดยั้งค่อนข้างดีใช้ได้ ลุยน้ำ ลุยโคลน ลุยฝุ่นได้แล้วกัน ยิงซ้ำนัดได้ค่อนข้างเร็ว มีความทนทานสูงปืนสมัยโบราณส่วนใหญ่จะทนทานกว่าสมัยใหม่
รุ่น M1 จะยิงแบบกึ่งอัตโนมัติ ส่วนรุ่น M2 , M3 จะยิงแบบ FULL AUTO อัตราการรัว 850–900 นัด/นาทีM1 Carbine กระสุนไม่ใหญ่ไม่โตขนาดแค่ 0.30 นิ้ว แต่อานุภาพรุนแรงกว่ากระสุน .357 Magnum
M1 GARAND
ปืนเวอร์ชั่น : M1 GARAND บริษัท : Springfield Armory, Winchester Repeating Arms Company, Harrington & Richardson Co., International Harvester, Breda, Beretta, Inc. ประเทศ : USA
ปีประจำการ : 1936–1963 เเม็กกาซีน : 8 นัด ระบบปฏิบัติการ: Gas-operated, rotating bolt ระบบการยิง : SEMI AUTO RIFLE น้ำหนัก : 4.32 kg ระยะหวังผล : 500 หลา
กระสุน : .30-06 (7.62x63 mm) แรงปะทะกระสุน : 3800-4500 จุล กระสุน : 7.62x51mm NATO แรงปะทะกระสุน : 3300-4100 จุล
ประวัติ
ปืน M1 Garand กองทัพไทยเรียกว่า "ปืนเล็กยาวบรรจุเองแบบ 88 (ปลย.88 หรือ ปลยบ.88)" เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2488
ปืน M1 Garand เอ้างั้นแถมไปเลย ใช้กระสุน .30-06 ระบบการยิงเซมิออโต้ ความจุ 8 นัดต่อคลิป ร่องเกลียว 4 เกลียวเวียนขวา มีความพิเศษตรงที่พอยิงจนกระสุนหมด ปืนจะดีดคลิปออกมาเสียงดัง ปิ๊ง! ออกแบบโดยนาย John C.Garand ครับ
ปืน M1 Garand ได้รับการพัฒนาต่อมาจนออกมาเป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติด้วยคือปืน M14 ครับ และเป็นปืนรุ่นแรกที่ได้ใช้กับกระสุนใหม่ คือ .308 Winchester หรือ 7.62x51 mm. NATO ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในช่วงสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามโลกครั้งที่ 2
ปืน M1 GARAND จะบรรจุกระสุนเป็นคลิปกระสุนบรรจุไว้บนตัวปืน เหมือนพวกปืน SKS ประมาณนั้น ปืนนี้จะมีข้อเสียตรงเรื่องน้ำหนักพอควรทำให้เคลื่อนที่ในการยิงได้ช้า รวมไปถึงอาการสั่นค้างขณะเล็งปืนด้วยนั้นเอง ใช้กระสุนที่มีอำนาจหยุดยั้งสูงดี โดยเฉพาะกระสุน .308 WIN เรื่องความแม่นยำถือดีมากสำหรับปืนนี้ ข้อเสียก็ตรงที่เรื่องน้ำหนักปืน แต่เรื่องความทนทานพอจะดูคล้ายๆ M1 CARBINE แต่เรื่องแรงถีบจะมากไปหน่อยเพราะใช้กระสุนที่แรงกว่า .30 CARBINE ไปมากนัก นิยมใช้กับพลทหารเหมือนกัน
MP44
Type : Assault rifle Place of origin : Nazi Germany In service : July 1944–May 1945 (Nazi Germany) Wars World War II, appeared in other conflicts around the world
Designed : 1943 Manufacturer : C. G. Haenel Waffen und Fahrradfabrik Number built : 425,977 Specifications Weight : 5.22 kg (11.5 lb) Length : 940 mm (37.0 in) Barrel length : 419 mm (16.5 in)
Cartridge : 7.92x33mm Kurz Action : Gas-operated, tilting bolt Rate of fire : 500-600 rounds/min Muzzle velocity : 685 m/s (2,247 ft/s) Effective range : 300 m Feed system : 30-round detachable box magazine
ประวัติ
Stg44 (Sturmgewehr 44)หรือในภาษาอังกิตก็ Assault Rifle 1944 ถูกพัฒนามาจากMP43(Machine Pistol 43) พัฒนาในปี1943(ตามเลขลงท้าย)
ในช่วงแรก ฮิตเลอร์ต้องการอาวุธประจำกายทหารราบที่มีระยะยิงไกลกว่า 2,000 หลา(เหตุผลที่นิยมKar9จึงไม่สนใจที่จะให้ผลิตปืนเอ็ม พี 43 ขึ้น แต่อัลเบิร์ต สเปียร์ รัฐมนตรีกระทรวงอาวุธของนาซีเยอรมันในขณะนั้น เห็นว่าเยอรมันมีความต้องการปืนรุ่นนี้เป็นอย่างมาก จึงทำการผลิตปืนรุ่นนี้ขึ้น โดยที่ฮิตเลอร์ไม่รู้ และส่งออกไปให้ทหารเยอรมันในแนวรบด้านรัสเซียได้ทดลองใช้ ปรากฏว่า ทหารราบเยอรมันต่างพอใจในสมรรถนะของปืนรุ่นนี้ ถึงขนาดที่ผู้บัญชาการกองพลของเยอรมันบางกองพล ได้พูดกับฮิตเลอร์ถึงประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมของปืนกลมือ MP43 ความจริงเลยปรากฏต่อฮิตเลอร์ว่า ปืนรุ่นนี้ได้ถูกผลิตออกมาแล้ว แต่ฮิตเลอร์ไม่พอใจในการกระทำของรัฐมนตรีโดยกระทำอย่างพลการจึงทำให้ไม่พอใจถึงถูกปฎิเสธไป อย่างไรก็ตาม ฮิตเลอร์ก็ได้รับการโน้มน้าวจากฝ่ายเสนาธิการของเขาว่า ปืนกล MP43 มีประสิทธิภาพมาก และเป็นที่ต้องการของทหารในแนวหน้า ทำให้ฮิตเลอร์ เปลี่ยนใจ และสั่งให้ผลิตปืนMP43 ออกมาใช้อย่างเต็มที่ โดยมอบหมายให้โรงงาน 3 โรงงานรับผิดชอบในการผลิต ตลอดจนมีการปรับเปลี่ยนภายในเล็กน้อย และเปลี่ยนชื่อเป็นปืน Stg44 (Sturmgewehr 44) สายการผลิตของปืนรุ่นนี้มีอยู่จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945 ถือว่าอยู่ได้ไม่นานถ้าเทียบกับMP40 แต่อย่างน้อย เมื่อจบสงคราม รัสเซียได้แบบของStg44ไป และนำไปพัฒนาไปเป็นของตัวเองแล้วใช้ชื่อAK47 ซึ่งก่อนจะใช้ชื่อเป็นStg44 ก็ใช้ชื่อเป็นMP44มาก่อน สังเกตจากการออกแบบที่อิงระบบปืนกลมือนั่นคือตัวเลือกระบบ แทนที่จะเป็น safe-semi-auto แบบปืนที่เราคุ้นๆกัน แต่Stg44 จะเป็น safe-auto-semi ซึ้งการเลือกระบบแบบนี้ยังตกมาถึงลูกหลานอย่างAK47อีกด้วย
FG42
ประเภท Automatic Rifle ผู้ใช้ เยอรมัน ประจำการปี 1942-1945 ผู้ออกแบบ Louis Stange จำนวนผลิต 2,000 กระบอก(Model I), 4,397(Army) หนัก 4.5 kg.(รุ่น Model I), 4.9 kg. (รุ่น Model II) ยาว 937 mm..(รุ่น Model I), 1,060mm. (รุ่น Model II) ลำกล้องยาว 502mm. ขนาดกระสุน 7.62x57 mm. บรรจุ 10,20 นัดDetachable Box Magazine อัตรายิง 900นัด/นาที (รุ่น Model I) ,600นัด/นาที (รุ่น Model II) ระยะหวังผล ~500 m.
ประวัติ
ปืนไรเฟิลอเนกประสงค์เป็นปืนที่มีความแม่นยำสูงและมีพลังการทำลายสูงมาก และยังสามารถยิงแบบอัตโนมัติได้และยังติดกล้องเล็งมาด้วย ปืน FG42 (Fallschirmjägergewehr-42 หรือ Paratrooper's rifle, Model 1942) ใช้กระสุนขนาด 7.92x57 mm. แบบเดียวกับปืน Kar98K เป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติ ความจุ 10/20 นัดต่อแมกกาซีน ปัจจุบันถูกนำมาดัดแปลงพร้อมกับปืนกล MG42 โดยกองทัพสหรัฐอเมริกา กลายเป็นปืนกล M60 ในปัจจุบัน
AVS-36
ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติที่ใช้รูปแบบการทำงานด้วยแก๊สที่มีให้เห็นอย่างครั้งแรกในปี ค.ศ. 1938 AVS-36 ไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายเนื่องจากแรงถีบที่รุนแรงและการใช้งานที่ยุ่งยาก จึงผลิตออกมาเพียง 65,800 กระบอกเท่านั้น
M1903 Springfield rifle
ปืนเวอร์ชั่น : M1903 บริษัท : SPRINGFIELD ประเทศ : USA กระสุน : .30-06 SPRINGFIELD บรรจุกระสุน : 5 นัด ระบบปฏิบัติการ : MANUALLY OPERATED , ROTATING BOLT ระบบการยิง : BOLT ACTION ระยะหวังผล : 200 เมตร น้ำหนัก : 3.9 Kg ฟังก์ชัน : กล้อง ZOOM ระยะไกล
ประวัติ
ปืนไรเฟิลรุ่น M1903 สัญชาติอเมริกา ผลิตมาจากบริษัท SPRINGFIELD ปืนไรเฟิลที่ถูกใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 -2 ปืนนี้มีรูปร่างจะคล้ายๆ ปืน M1 GARAND ซึ่งเป็นปืนที่ใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมือนกัน ปืนนี้มีระยะหวังผล 200 หลา จากระยะยิงไกลสุดที่ 500 หลา มีความแม่นยำที่สูงมากๆ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ปืนนี้จะใช้โดยพลแม่นปืนส่วนใหญ่ ใช้กระสุนขนาด .30-06 SPRINGFIELD ซึ่งเป็นกระสุนของบริษัท SPRINGFIELD โดยเฉพาะเลย พลังทำลายก็ถือว่าสูงมากกว่ากระสุน 7.62 x 51 NATO ของปืน MR7 อีก โดยกระสุนของมันมีแรงปะทะประมาณ 3261-3793 จุล ซึ่งแรงมากๆ ระบบการยิงแบบ BOLT ACTION ต้องดึงคันรั้งทุกครั้งก่อนยิงแต่ละนัด แถมยังบรรจุกระสุนน้อย เพียงแค่ 5 นัด ปืนนี้ยังถือว่าเก่าแก่มาก บรรจุกระสุนเป็นคลิปกระสุนบรรจุไว้บนตัวปืน
Lee Enfield
ประเภท : Service Rifle
ผู้ใช้ : อังกฤษ
ประจำการปี : 1907-ปัจจุบัน (ใช้ในการฝึก)
ผู้ออกแบบ : James Paris Lee
จำนวนผลิต : ประมาณ 7,500,000 กระบอก
หนัก : 3.9 kg.
ยาว : 1,130 mm.
ขนาดกระสุน : .303 cal.
บรรจุ : 10 นัด Stripper Clip 2 Clip
ระบบการทำงาน : Bolt-action
อัตรายิง : 20-30 นัด/นาที
ระยะหวังผล : 914 m. ไกลสุด 1828 m.
ประวัติ
ปืนไรเฟิลประจำกองทัพบกอังกฤษมีใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่1จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่เป็นไรเฟิลลูกเลื่อนเหมือนของเยอรมัน
ปืนไรเฟิลประจำกองทัพบกอังกฤษมีใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่1จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่เป็นไรเฟิลลูกเลื่อนเหมือนของเยอรมันแต่บรรจุกระสุนได้มากกว่าคือ10นัดโดยตลับกระสุนจะแบ่งเป็น2ตลับๆละ5นัดใช้กระสุนขนาด .303 British
Mosin Nagant
ประเภท : Service Rifle
ผู้ใช้ : โซเวียต
ประจำการปี : 1891-1998
ผู้ออกแบบ : Cap.Sergei Mosin
จำนวนผลิต : ประมาณ 37,000,000 กระบอก
หนัก : 4.05 kg.
ยาว : 131.8 cm.
ขนาดกระสุน : 7.62x54R.
บรรจุ : 5 นัด Stripper Clip
ระบบการทำงาน : Bolt-action
อัตรายิง : 15นัด/นาที
ระยะหวังผล : 548.64 m. ไกลสุด 1828.8 m.
ประวัติ
ปืนไรเฟิลของทหารกองทัพแดงมีความแม่นยำสูงมากในการยิงระยะไกลแต่มีอัตราการยิงต่อเนื่องต่ำทำให้ลำบากในการต่อสู้ระยะประชิดใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงปลายปี1998
Samozaryadnaya Vintovka Tokareva SVT-40
ประเภท : Rifle
ผู้ใช้ : โซเวียต
ประจำการปี : 1941-1945
จำนวนผลิต : ประมาณ1,600,000 กระบอก
หนัก : 3.85 kg.
ยาว : ลำกล้องยาว1,226/610mm.
ขนาดกระสุน : 7.62x54 mm.
บรรจุ : 10 นัด Detachable Box Magazine
ระบบการทำงาน : Gas operated
อัตรายิง : 840นัด/นาที
ระยะหวังผล : 500 m.
ประวัติ
ปืนไรเฟิลชนิดนี้เป็นการอัพเกรดขนานใหญ่ของปืนไรเฟิลประจำกายของกองทัพแดงถึงแม้ว่าทหารจะไม่ได้รับการฝึกให้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ทหารนาซีก็ยอมรับในฐานะอาวุธที่มีความแม่นยำและพลังการทำลายสูง
Gewehr 43
ประเภท : Semi-Automatic Rifle ผู้ใช้ : เยอรมัน หนัก : 4.1 kg. ยาว : ลำกล้องยาว1,130/546mm. ขนาดกระสุน : 7.92x57 mm. Mauser บรรจุ : 10 นัดDetachable Box Magazine ระบบการทำงาน : Gas-operated ระยะหวังผล : 400 m.
ประวัติ
ในช่วงต้นสงครามเยอรมันได้ผลิตปืน Gewehr 41 มา แต่ไม่ได้รับความนิยมเพราะมีความยุ่งยากในการบรรจุกระสุนและเชื่อถือไม่ค่อยได้ หลังจากที่ได้ยึดปืน SVT-40ของโซเวียตมาได้ วิศวกรของเยอรมันได้สังเกตุการโหลดกระสุนด้วยแก๊สที่ดีเยี่ยมของ SVT-40 ทำให้พวกเขาได้นำระบบนั้นมาออกแบบ Gewehr 43 ทำให้มันโหลดกระสุนได้ง่ายและมีความแม่นยำสูงด้วย
กลับสู่หน้าหลัก
|